ความจริงแล้วนายสมหมาย ฮุนตระกูล เกี่ยวข้องกับบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด มานานพอสมควร ก่อนที่จะดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการบริษัท
ความเกี่ยวข้องโดยตรงครั้งแรก ๆ ก็คือในฐานะเจ้าหนี้ เนื่องจากนายสมหมายฯ มีตำแหน่งบริหารในบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศ (IFCT) ตั้งแต่แรกตั้งเลยก็ว่าได้
กิจการนี้ตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2502 ตามแนวคิดของ Industrial Bank of Korea ซึ่งสร้างสถาบันการเงินเฉพาะขึ้นมาเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมภายในประเทศ ในช่วงเวลานั้นเงินทุนเป็นที่ต้องการอย่างมาก บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด เป็นกิจการสำคัญกิจการหนึ่งที่ถือเป็นลูกหนี้รายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของบรรษัทแห่งนี้ตั้งแต่ต้น
IFCT ระดมเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ โดยแหล่งใหญ่ที่สุดก็มาจากประเทศญี่ปุ่น เพื่อนำมาปล่อยกู้แก่ธุรกิจอุตสาหกรรมของไทยอีกทอดหนึ่ง
เมื่อนายสมหมายฯ เข้าดำรงตำแหน่งกรรมการและผู้จัดการใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์ แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ได้มาดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด แทนตำแหน่งของกรรมการผู้จัดการคนก่อน (นายอาภรณ์ กฤษณะมะระ) นับเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก เนื่องจากเป็นช่วงของการปรับโครงสร้างธุรกิจในปี พ.ศ.2515
นายสมหมายฯ มีบทบาทมากขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อนายบุญมา วงศ์สวรรค์ ต้องไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในปลายปี พ.ศ.2516 นายสมหมายฯ จึงเข้ามาดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารแทนและหลังจากนั้นก็เข้าไปเป็นกรรมการบริษัทในเครืออีกหลายแห่ง
เหตุการณ์ที่สำคัญเหตุการณ์หนึ่งของการบริหารงานในยุคนายบุญมา วงศ์สวรรค์ โดยเฉพาะในปี พ.ศ.2518 ที่บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด ประสบการขาดทุนครั้งแรก โดยนายบุญมาฯ ให้เหตุผลว่าส่วนหนึ่งมาจากการที่รัฐบาลควบคุมราคาสินค้าปูนซีเมนต์ ในขณะที่นายสมหมาย ฮุนตระกูล กล่าวในการประชุมคณะกรรมการครั้งที่ 782 (27 มกราคม พ.ศ.2517) ไว้อย่างน่าสนใจว่า
"การที่เครือฯ ต้องประสบการขาดทุนนั้น มิได้ขึ้นอยู่กับรัฐบาลไม่อนุมัติให้ขึ้นราคาปูนซีเมนต์เพียงอย่างเดียว เพราะยังมีกิจการอื่นของเครือฯ ที่ขาดทุนมาก ดังนั้นแม้ว่ารัฐบาลจะอนุมัติให้ขึ้นราคาปูนซีเมนต์ หากไม่ปรับปรุงกิจการอื่นด้วยแล้ว สถานการณ์ของเครือก็ยังไม่เป็นที่น่าพอใจนัก”
ในปลายปี พ.ศ.2519 เมื่อนายสมหมาย ฮุนตระกูล ขึ้นดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการแทนนายบุญมา วงศ์สวรรค์ แม้จะเป็นช่วงเวลาไม่นานนัก (พ.ศ. 2519-2523) แต่ก็ถือว่าเครือซิเมนต์ไทยได้ปรับโครงสร้างทางธุรกิจมากพอสมควร โดยเฉพาะธุรกิจเหล็ก การร่วมทุนสร้างเครื่องยนต์การเกษตร และการจัดตั้งบริษัทการค้าระหว่างประเทศ ที่น่าสังเกตก็คืออิทธิพลญี่ปุ่นเข้ามาประเทศไทยอย่างมากในช่วงนั้น นับเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด กับธุรกิจญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและยาวนานมาจนทุกวันนี้
ในช่วงนั้นสถานการณ์ทางเศรษฐกิจเติบโตขึ้นอีกครั้ง หลังจากวิกฤตการณ์ทางการเมืองและวิกฤตการณ์น้ำมัน โดยเฉพาะพ้นระยะการควบคุมราคาปูนซีเมนต์ ซึ่งส่งผลให้การลงทุนขยายกำลังผลิตปูนซีเมนต์ในประเทศชะงัก ดังนั้นเมื่อเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นหลังวิกฤตการณ์ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด ต้องมาระดมทุนครั้งใหญ่เพื่อขยายกำลังการผลิตพร้อม ๆ กับการแก้ปัญหาปูนซีเมนต์ขาดตลาดอย่างรุนแรง นับเป็นช่วงเติบโตก้าวกระโดดในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการระดมเงินกู้จากประเทศญี่ปุ่นและต่อด้วยการกู้เงินในตลาดโลกโดยไม่ต้องมีการค้ำประกันและดำเนินการกู้พร้อม ๆ กันหลายธนาคารด้วยตนเอง ขณะเดียวกันก็มีการลงทุนใหม่ในทุกธุรกิจ ถือเป็นช่วงการเติบโตอย่างรวดเร็วที่สุดช่วงหนึ่งของเครือซิเมนต์ไทย