“ข้าพเจ้าเชื่อว่าเพราะปูนซีเมนต์ของไทยมีแรงดีกว่าปูนซีเมนต์ที่ส่งเข้ามาจากต่างประเทศถึง 25 เปอร์เซ็นต์ และทั้งจะขายแต่เพียงถังละ 5 บาท 50 สตางค์ ต่ำกว่าปูนซีเมนต์นอกที่เขาขายถังละ 6 บาทนั้นแล้ว ในปีหนึ่งของเราคงจะขายได้ตั้ง 100,000 ถัง โดยไม่ต้องได้รับความลำบากแต่อย่างใดอย่างหนึ่งเลย”
Mr.E.G. Gollo เขียนจดหมายแสดงความมั่นใจถึงเจ้าพระยายมราช เมื่อ 26 มีนาคม พ.ศ.2456
เล่าเรื่องความคืบหน้าในการลงทุนสร้างโรงงานปูนซีเมนต์ แม้ว่าจากนั้นอีกถึง 2 ปีกว่าโรงงานจึงแล้วเสร็จ
ความหมายที่สำคัญของแนวคิดในจดหมายฉบับนี้ก็คือ แนวคิดหลักของการตั้งราคาปูนซีเมนต์ของโรงงานของคนไทยโรงงานแรกที่มีสาระสำคัญคือ การตั้งราคาขายในประเทศ ใช้ราคาปูนซีเมนต์นำเข้าจากต่างประเทศเป็นราคาอ้างอิง ทั้งนี้ในจดหมายฉบับเดียวกันนี้ยังตั้งเป้าไว้ว่า ในปีหนึ่งจะมีกำไรแบ่งปันได้ โดยได้รับผลตอบแทนถึง 20% ซึ่งถือเป็นผลตอบแทนที่สูงมากทีเดียว
การตั้งราคาอ้างอิงกับราคาปูนซีเมนต์นำเข้า(ซึ่งเป็นราคาที่รวมการขนส่งทางเรือ ด้วยระยะทางไกลไว้ด้วย) ถือเป็นการตั้งราคาไว้ค่อนข้างสูง ทำให้ได้ผลตอบแทนการลงทุนที่สูงมาก
สมมติฐานนี้น่าจะสามารถอรรถาธิบายเรื่องราวสำคัญในประวัติศาสตร์ช่วงต้นของบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด ได้หลายมิติ
• บริษัทนี้จำเป็นต้องจ้างชาวต่างประเทศมาบริหาร ซึ่งบุคลากรเหล่านี้ได้รับผลตอบแทนสูงมาก เมื่อเปรียบเทียบกับรายได้ของผู้ทำงานในกิจการอื่นหรือแม้กระทั่งราชการ
• บริษัทนี้เป็นกิจการที่ผู้คนในสังคมไทยสนใจจะเข้าทำงานด้วยอย่างมาก เนื่องจากผลตอบแทนอยู่ในระดับสูง โดยอ้างอิงกับรายได้ของผู้บริหารชาวต่างประเทศ
• ประการสำคัญที่สุด น่าจะอยู่ที่บริษัทนี้สามารถปรับตัวในสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างยืดหยุ่น เนื่องจากที่มีผลกำไรสะสมไว้จำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่ว่าประเทศไทย แต่ไหนแต่ไรมามีการนำเข้าปูนซีเมนต์เป็นช่วง ๆ ในเมื่อมีความต้องการสูงหรือเมื่อการตั้งราคาของบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด สูงเกินไป จนปูนซีเมนต์จากต่างประเทศเข้ามาแข่งขันในตลาดไทยได้ จึงกล่าวได้ว่าบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผลิตปูนซีเมนต์แห่งแรกและแห่งเดียว มิได้อยู่ในฐานะผูกขาดอย่างสมบูรณ์
จากการศึกษา การกำหนดราคาปูนซีเมนต์ของบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด ในช่วง 10 ปีแรกของการก่อตั้งก็มีการขึ้นลงราคาตามภาวะตลาดที่น่าสนใจ
ช่วงขึ้นราคา (พ.ศ.2458 - 2463)
จากหนังสือปูนซิเมนต์ไทย พ.ศ.2500 อ้างว่า หากไม่มีสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้นคงไม่สามารถทำลายความเชื่อของคนไทยที่ว่าสินค้าต่างประเทศดีกว่าสินค้าที่ทำในประเทศไทยได้ ด้วยเหตุที่การขนส่งสินค้าจากต่างประเทศประสบความยุ่งยาก จึงทำให้การขายปูนซีเมนต์ของคนไทยประสบความสำเร็จ
แนวคิดนี้สอดคล้องกับหนังสือกิจการของบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด ในระยะ 40 ปี (พ.ศ.2456 -2496) ที่ระบุว่าการจำหน่ายปูนซีเมนต์ใน 4 เดือนแรก มีปริมาณเพียง 700 ตัน จากนั้นก็เพิ่มขึ้นเป็น 2,000 ตัน เต็มกำลังการผลิตปีละ 24,000 ตัน ซึ่งถือว่าเป็นความสำเร็จอย่างรวดเร็ว
จากรายงานการประชุมคณะกรรมการ จะมีการพิจารณาปรับราคาขึ้นตลอดเวลาในช่วง 5 ปี ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการส่งออกไปยังตลาดประเทศเพื่อนบ้าน ทดแทนปูนซีเมนต์ที่ไม่สามารถส่งมาจากทางยุโรปในช่วงปี พ.ศ.2460 -2464 ด้วย
ความสำเร็จของบริษัทใหม่ในประเทศเป็นเรื่องน่าทึ่ง ผลประกอบการประสบความสำเร็จด้วยดี สามารถจ่ายเงินปันผลครั้งแรกได้แม้ดำเนินกิจการได้เพียงปีเดียว บริษัทเริ่มผลิตปูนซีเมนต์ออกจำหน่ายในเดือน มิถุนายน พ.ศ.2458 และในเดือนมีนาคม พ.ศ.2459 ก็สามารถจ่ายเงินปันผลครั้งแรก ให้ผลตอบแทนการลงทุนถึง 6% และเพิ่มขึ้นตามลำดับ เป็น 12% และ 13% ในอีก 2 ปีถัดมา และขึ้นสูงสุด 25% ติดต่อกัน 2 ปีในช่วงปี พ.ศ.2462 - 2463
ช่วงปรับราคาลง (พ.ศ.2464 - 2466)
ในช่วงนี้เป็นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองระยะหนึ่งแล้ว ปูนซีเมนต์จากต่างประเทศ เริ่มมีเข้ามาจำหน่ายในเมืองไทยมากขึ้น ไม่ว่าจะมาจากไฮฟอง เดนมาร์ก หรือญี่ปุ่น บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด ต้องปรับราคาลงมาติดต่อกันหลายครั้ง
รายงานการประชุมครั้งที่ 129 ระบุว่าการค้าซบเซาและรายงานการประชุมครั้งที่ 130 ตัดสินใจลดสต็อคสินค้าและพยายามลดต้นทุนการผลิต และการประชุมครั้ง 131 และ 132 ได้ตั้งสำรองหนี้สูญไว้ 10,000 บาท และ 15,000 บาท ตามลำดับด้วย
ผลประกอบการในช่วงปี พ.ศ.2464 - 2466 ผลตอบแทนลดลงจากช่วงก่อนลงมาเหลือ 15% 10% และ 7% ตามลำดับ