พ.ศ. 2550 ขยายโครงการลงทุนสู่ความเป็นผู้นำในอาเซียน

ขยายโครงการลงทุนสู่ความเป็นผู้นำในอาเซียน

เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์สู่ความเป็นผู้นำตลาดภูมิภาคอาเซียนภายในปี 2558 SCG จึงขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยมีความคืบหน้าที่สำคัญ อาทิ โรงงานปูนซีเมนต์ในกัมพูชาที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ พร้อมเริ่มผลิตและจัดจำหน่ายตั้งแต่ต้นปี 2551 โรงงานผลิตกระดาษอุตสาหกรรมในเวียดนาม อยู่ระหว่างการก่อสร้าง นอกจากนั้น ยังศึกษาโอกาสการลงทุนในธุรกิจเคมีภัณฑ์ที่เวียดนาม และการลงทุนโรงงานปูนซีเมนต์เพิ่มเติมในภูมิภาคอาเซียนอีกด้วย

1. การลงทุนโครงการปลายน้ำผลิต HDPE และ PP
SCG ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2549 ว่า ได้ลงนามในสัญญาร่วมทุนกับบริษัทดาว เคมิคอล ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อสร้างโรงงานโอเลฟินส์แห่งที่ 2 ของ SCG ในประเทศไทย ซึ่งจะมีกำลังการผลิตโอเลฟินส์ 1.7 ล้านตันต่อปี (เอททีลีน 900,000 ตันต่อปี โพรไพลีน 800,000 ตันต่อปี) และผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีก 700,000 ตันต่อปี มูลค่าการลงทุนประมาณ 45,600 ล้านบาท โดย SCG ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 67

โรงงานโอเลฟินส์แห่งที่ 2 นี้จะสามารถผลิตโพรไพลีนได้มากกว่าโรงงานแรกถึงร้อยละ 75 เพื่อรองรับภาวะอุปทานที่ตึงตัวอย่างต่อเนื่องในอนาคต เนื่องจาก ส่วนใหญ่โรงงานผลิตโอเลฟินส์ที่สร้างใหม่มาจากตะวันออกกลางและใช้ก๊าซเป็นวัตถุดิบในการผลิต ทำให้มีกำลังการผลิตโพรไพลีนและผลิตภัณฑ์อื่นๆ น้อย นอกจากนี้ ธุรกิจเคมีภัณฑ์ยังได้ลงทุนในโครงการปลายน้ำ (Downstream) โดยถือหุ้นทั้งหมด มีมูลค่าการลงทุนประมาณ 17,100 ล้านบาท ซึ่งจะใช้ผลิตภัณฑ์จากโรงงานโอเลฟินส์แห่งที่ 2 เป็นวัตถุดิบ ซึ่งมีกำลังการผลิต HDPE รวม 400,000 ตันต่อปี และ PP รวม 400,000 ตันต่อปี ทั้งนี้ จะเน้นการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้น (High Value Non-Commoditized Product) เตรียมพร้อมสำหรับการขยายฐานตลาดธุรกิจเคมีภัณฑ์ในภูมิภาคซึ่งมีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนั้น บริษัทไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2550 ว่ามีโครงการขยายกำลังการผลิตพีวีซีเรซินสายการผลิตที่ 2 กำลังการผลิต 90,000 ตันต่อปี ที่ประเทศเวียดนามผ่านบริษัท TPC Vina Plastic and Chemicals Corporation Co., Ltd. เพื่อรองรับความต้องการพีวีซีในประเทศเวียดนามที่ขยายตัว โดยใช้เครื่องจักรบางส่วนจากสายการผลิตของโรงงานสมุทรปราการที่จะหยุดผลิต

บริษัทได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2550 ว่าได้ลงนามในสัญญา Technology License Agreement กับดาว เคมิคอล สหรัฐฯ เพื่อลงทุนในโครงการสร้างโรงงานผลิตเม็ดพลาสติก LLDPE แห่งที่ 2 ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ มีกำลังการผลิต 350,000 ตันต่อปี มูลค่าการลงทุน 315 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 10,400 ล้านบาท) โดยมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 60 ต่อ 40

ทั้งนี้ SCG มีสัดส่วนการลงทุนร้อยละ 50 หรือคิดเป็นการลงทุนของ SCG มูลค่าประมาณ 63 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 2,100 ล้านบาท) โดยโรงงาน LLDPE แห่งที่ 2 นี้จะเน้นการผลิตเม็ดพลาสติก LLDPE เกรด C6 และ C8 ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Product) เพื่อใช้ผลิตผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง ทั้งนี้ จะนำวัตถุดิบเอททีลีนจากโรงงานโอเลฟินส์แห่งที่ 2 ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุน (Joint Venture) ระหว่าง SCG กับดาว เคมิคอล มาใช้สำหรับการผลิต LLDPE

2. การตั้งโรงงานกระดาษที่เวียดนาม
ธุรกิจกระดาษมีแผนขยายธุรกิจในภูมิภาคให้มากขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของ SCG ที่ต้องการเป็นผู้นำในอาเซียน โครงการหลัก คือ การขยายกำลังการผลิตแผ่นกระดาษลูกฟูก 142,000 ตันต่อปี และกล่องกระดาษลูกฟูก 50,000 ตันต่อปี ที่โรงงานในปทุมธานี ขอนแก่น และระยอง และโครงการตั้งโรงงานผลิตกระดาษคราฟท์ที่ประเทศเวียดนาม กำลังการผลิต 220,000 ตันต่อปี การขยายกำลังการผลิตกระดาษพิมพ์เขียนที่ขอนแก่น 200,000 ตันต่อปี