กรรมการผู้จัดการ

  • ชื่อ
    คำนึง ศุภสิทธิ์
    รายละเอียด :
     
    ป้ายคำค้น :
    ผู้บริหาร , คำนึง , ศุภสิทธิ์ , กรรมการผู้จัดการ , บริษัทผลิตภัณฑ์และวัตถุก่อสร้าง จำกัด , Executives
  • ชื่อ
    พ.ศ.2468 Mr.Erik Thune กรรมการผู้จัดการ คนที่ 2
    รายละเอียด :
    Mr.Erik Thune เข้ามาทำงานในตำแหน่งสมุห์บัญชีในบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด ตั้งแต่วันที่บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด เริ่มผลิตครั้งแรกและใช้เวลาเพียง 10 ปี ก็สามารถไต่เต้าก้าวขึ้นเป็นกรรมการผู้จัดการด้วยอายุเพียง 31 ปีเท่านั้น

    Mr.Erik Thune ตอนนั้นอายุเพียง 21 ปี มีประสบการณ์ช่วงสั้น ๆ จากบริษัทน้ำมันของสหรัฐอเมริกาในแถบสแกนดิเนเวีย ก่อนจะมาทำงานที่ประเทศอังกฤษประมาณ 1 ปี มีความรู้ด้านบัญชีและสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ เนื่องจากเขาไม่มีประสบการณ์ในการทำงานในโรงงานโดยตรง ดังนั้นก่อนจะเดินทางมาเมืองไทย F.L.Smidth จึงส่งไปฝึกงานในโรงงานปูนซีเมนต์ที่ประเทศอังกฤษประมาณหนึ่งเดือน ก่อนจะเดินทางมาถึงเมืองไทยเริ่มทำงานในราว ๆ เดือนมกราคม พ.ศ.2458

    ต่อมาภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง การค้าปูนซีเมนต์ในประเทศไทยรุ่งเรื่องขึ้น กำลังการผลิตประมาณ 20,000 ตันต่อปี เดินเครื่องเต็มกำลังการผลิตตลอดช่วงสงครามโลกจนจบสงคราม จึงมีความพยายามสั่งซื้อเครื่องจักรมาขยายกำลังการผลิต แผนการขยายกำลังการผลิตครั้งแรกสำเร็จในปี พ.ศ.2465

    เมื่อการขยายกำลังการผลิตสิ้นสุดลง Mr.Oscar Shultz กรรมการผู้จัดการคนแรกก็ขอลาออกจากตำแหน่ง คณะกรรมการจึงแต่งตั้ง Mr.Erik Thune เป็นกรรมการผู้จัดการคนที่ 2 มีผลตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2468

    นับว่าในช่วง 10 ปีที่เขาดำรงตำแหน่ง เป็นช่วงเวลาที่บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด ขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง จนมีกำลังการผลิตเพิ่มสูงสุดช่วงหนึ่ง ปริมาณการขายปูนซีเมนต์ที่บันทึกไว้ในหนังสือครบรอบ 40 ปี ระบุว่าในช่วง 5 ปี (พ.ศ.2468-2473) เพิ่มจาก 45,000 ตัน เป็น 88,000 ตัน ซึ่งถือเป็นการขยายกำลังการผลิตสูงที่สุดครั้งแรกในประวัติศาสตร์ แม้ว่าในปี พ.ศ. 2472 จะเกิดวิกฤตการณ์เศรษฐกิจตกต่ำทั้งโลก แต่ในช่วงต้นยังไม่กระทบต่อเมืองไทยมากนัก แต่สัญญาณการค้าก็เริ่มตกต่ำลงตามลำดับ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองในประเทศไทย การเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ.2475 และจากนั้นอีกเพียง 3 ปี Mr.Erik Thune ก็ขอลาออกจากตำแหน่ง

    อย่างไรก็ตาม งานหลักของ Mr.Erik Thune ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น นอกจากจะขยายกำลังการผลิต การจำหน่ายในประเทศอย่างมากมายต่อเนื่องแล้ว หน้าที่สำคัญก็คือการติดต่อค้าขายวัตถุดิบกับ Trading Company ในย่านนี้ ในช่วงที่ความต้องการวัตถุดิบ โดยเฉพาะถ่านหิน ถังบรรจุปูน และอะไหล่ต่าง ๆ มีมากขึ้นเป็นเงาตามตัวของการเพิ่มการผลิตและการจำหน่าย นอกจากนี้ในช่วงนั้นบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด มีการลงทุนในพันธบัตรของรัฐบาลในช่วงต่อเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 1 พันธบัตรรัฐบาลนี้ออกที่กรุงลอนดอน รวมทั้งบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด มีการลงทุนในพันธมิตรในเขตปกครองของประเทศอังกฤษในปีนังด้วย ดังนั้นกรรมการผู้จัดการคนที่ 2 ซึ่งมีความรู้ทางการเงินจึงทำงานนี้ได้อย่างดี

    งานสำคัญอีกประการหนึ่ง ก็คือว่าจ้างวิศวกรโยธาคนใหม่ เนื่องจากตอนนั้นเกิดภาวะสงครามทั่วยุโรป F.L.Smidth ไม่สามารถจ้างวิศวกรที่จบระดับปริญญาตรีให้บริษัทปูนซิเมนต์ไทยได้ Mr.Erik Thune จึงปรับเงื่อนไขให้รับผู้มีความรู้ด้านวิศวกรรมโยธาระดับมัธยมปลาย (High School) แทน ซึ่งในเวลาต่อมาคนที่มารับตำแหน่งนี้ก็คือ Mr.Carsten Friis Jespersen เข้ามาเมืองไทยในปี พ.ศ.2469 คน ๆ นี้ ก็คือกรรมการผู้จัดการคนต่อจากเขานั่นเอง

    ภายหลังจากการเดินทางกลับไปทวีปยุโรปแล้ว Mr.Erik Thune ได้มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด ครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่ง ในฐานะประธานบริษัท F.L.Smidth สาขานิวยอร์ก พระยามานวราชเสวี ประธานกรรมการบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด เดินทางไปสหรัฐอเมริกาเพื่อทำสัญญากู้เงินจากธนาคาร Export-Import ของสหรัฐอเมริกา ในช่วงเดือนมิถุนายน พ.ศ.2498 ได้กล่าวในการประชุมคณะกรรมการว่า Mr.Erik Thune ได้ให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดีในการเจรจากับธนาคารที่กรุงวอชิงตัน อย่างไรก็ตาม การเจรจาครั้งนี้ Exim Bank ได้ผ่อนปรนเงื่อนไขจากการให้กู้เงินเพื่อซื้อสินค้าอเมริกันเท่านั้น ให้สามารถซื้อหม้อเผาของ F.L.Smidth ได้บางส่วนด้วย

    หลังจากนั้นในปี พ.ศ.2501 Mr.Erik Thune ในขณะนั้นอยู่ที่เมืองโคเปนเฮเกน ยังได้ช่วยเหลือบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด ในการเจรจาขอซื้อหม้อเผาที่ 4 กับ F.L. Smidth โดยขอชำระเงินผ่อน 15 งวด โดยไม่มีการวางเงินล่วงหน้าทั้งๆ ที่ F.L. Smidth ไม่เคยทำเช่นนี้มาก่อน นอกจากนี้ยังลดราคาให้อีก 5% เพื่อตอบแทนบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด ที่เป็นลูกค้าเก่าแก่ถึง 45 ปี  
    ป้ายคำค้น :
    พ.ศ.2468 , กรรมการผู้จัดการ , Mr.Erik Thune
  • ชื่อ
    พ.ศ.2478 Mr.Carsten Friis Jespersen กรรมการผู้จัดการคนที่ 3
    รายละเอียด :
     Mr.C.F. Jespersen ดำรงตำแหน่ง ผู้จัดการใหญ่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด เป็นเวลาถึง 24 ปี ในช่วงสถานการณ์ที่สังคมไทยเผชิญปัญหามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่สำคัญในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างความเสื่อมของอิทธิพลยุโรปในภูมิภาคและการเริ่มต้นเข้ามาของอิทธิพลสหรัฐอเมริกา ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด ภายใต้การบริหารของ Mr.C.F. Jespersen มีเรื่องราวต่าง ๆ ที่มีสีสันเกิดขึ้นอย่างมากมาย

    Mr.Jespersen เข้าทำงานกับบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด ในตำแหน่งนายช่างก่อสร้าง ในช่วงยากลำบากภายหลังสงครามในยุโรป จากข้อมูลเชื่อว่าเขามีความรู้วิศวกรโยธาระดับอนุปริญญา เท่าที่คำนวณได้น่าจะมีอายุประมาณ 24 ปี ซึ่งแสดงว่าเขามีประสบการณ์ทำงานมาแล้วช่วงหนึ่งตามคุณสมบัติที่กรรมการผู้จัดการคนก่อนกำหนดไว้ว่าควรมีความรู้ด้านโรงงานปูนซีเมนต์ด้วย เนื่องจากช่วงนั้นไม่สามารถว่าจ้างวิศวกรระดับปริญญาได้

    Mr.Jespersen เข้ามาทำงานในช่วงที่มีการขยายกำลังการผลิตมากที่สุด ดังนั้นความรับผิดชอบด้านการก่อสร้างจึงมีมากเป็นเงาตามตัว "ผมเดินทางมาถึงประเทศไทย เดือนมกราคมปี พ.ศ.2469 โดยมารับตำแหน่งเป็นวิศวกรโยธารับผิดชอบงานด้านก่อสร้างทั้งหลาย งานชิ้นแรกของผมก็คือ ทำแผนที่ที่ถูกต้องของแหล่งดินขาวที่บ้านหมอ" Mr.Jespersen เล่าเรื่องนี้ไว้ในบทความ "เบื้องหลังของท่าหลวง" ในหนังสือครบรอบ 70 ปีของบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด

    หลังจากใช้เวลาทำงานอยู่ในเมืองไทย 9 ปี ก็ก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งผู้จัดการใหญ่คนที่ 3 ในวัยราว 33 ปี ซึ่งถือเป็นช่วงสถานการณ์ผันแปรมากที่สุดช่วงหนึ่งของประวัติศาสตร์บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด นั่นคือการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ.2475

    จากจุดนี้ถือเป็นการเริ่มต้นบทบาทของคนไทยที่เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารงานมากขึ้น ช่วงดังกล่าวถือเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงภายในบริษัทมากที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทเป็นต้นมา สำหรับผู้บริหารชาวเดนมาร์กทั่วไป อาจจะเป็นเรื่องยากในการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ใหม่ แต่สำหรับ Mr.Jespersen ดูเหมือนไม่ยากนัก

    จากหนังสือครบรอบ 70 ปีของบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (พ.ศ.2526) Mr.Jespersen ได้เล่าเรื่องเบื้องหลังการสร้างโรงงานท่าหลวงไว้อย่างตื่นเต้น เกี่ยวกับความพยายามเจรจากับรัฐบาลในขณะนั้น ซึ่งเป็นความพยายามที่จะยับยั้งแผนการก่อสร้างโรงงานปูนซีเมนต์แห่งใหม่ที่ท่าหลวงจากการสนับสนุนของรัฐบาล

    "ผมตัดสินใจเข้าพบหลวงประดิษฐ์มนูธรรม ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อจะหาข้อเท็จจริงให้กระจ่างยิ่งขึ้น โดยขอให้ท่านช่วยยืนยันข่าวดังกล่าว และขณะเดียวกันก็เสนอว่าหากเรื่องนี้เป็นจริง บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด ก็จะยุติแผนการสร้างโรงงานท่าหลวง" Mr.Jespersen เล่าเรื่องนี้ต่อไปว่าได้รับการยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง ทั้งนี้โรงงานที่รัฐบาลสนับสนุนจะผลิตปูนซีเมนต์ในราคาถูกกว่าบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด และ Mr.Jespersen ยังพบว่าข้อมูลของโรงงานปูนซีเมนต์แห่งใหม่แทบจะเป็นข้อมูลชุดเดียวกันกับของบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด "ท่านจึงเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและสั่งให้เลขานุการร่างจดหมายเป็นภาษาอังกฤษตามคำที่ท่านบอก ใจความจดหมายก็คือให้คำรับรองกับบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด ว่ารัฐบาลล้มเลิกแผนการสร้างโรงงานปูนซีเมนต์แห่งใหม่ที่อำเภอท่าเรือ ขณะเดียวกันก็อนุญาตให้บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด ขยายโรงงานตามแผนการที่กำหนดไว้”

    เรื่องนี้ สามารถตีความได้ อย่างน้อย 2 ประการ

    ประการแรก Mr.Jespersen เป็นคนที่สามารถปรับตัวเข้ากับนักการเมืองผู้มีอำนาจในรัฐบาลได้เป็นอย่างดี เรื่องนี้ นายกนก พงศ์พิพัฒน์ ซึ่งเข้าทำงานในบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2491 มีโอกาสทำงานคลุกคลีกับ Mr.Jespersen ไม่น้อยกว่า 10 ปี ได้เล่าถึงบุคลิกของเขาไว้ในทำนองเดียวกันว่า "นายห้างเอาเตียงผ้าใบไปกางนอนอยู่หน้าทำเนียบเลยนะ จะขออะไรรัฐบาลทีก็ไปอยู่ที่นั่น แกเข้ากับรัฐบาลเก่ง คนชอบเหมือนเถ้าแก่จีนคนหนึ่ง"

    จากข้อมูลที่มี แสดงความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง Mr.Jespersen กับวงการธุรกิจในสมัยนั้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นการก่อตั้งบริษัทกระเบื้องกระดาษไทย จำกัด ความคิดในการจัดตั้งบริษัทการค้าการจำหน่ายไปจนถึงแนวคิดโครงการที่กระบี่ ล้วนปรากฏหลักฐานว่า Mr.Jespersen มีความคิดร่วมมือกับนักธุรกิจไทยเสมอ

    อีกประการหนึ่งแสดงให้เห็นว่า Mr.Jespersen ให้ความสำคัญกับโครงการท่าหลวงอย่างมาก โครงการนี้มีความหมายกว่าที่เคยมีการตีความกันไว้ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างโรงงานใกล้แหล่งวัถตุดิบหรือจะลดต้นทุนการขนส่งสู่ตลาดภาคกลางที่มีความต้องการปูนซีเมนต์มากขึ้น นั่นเป็นภาพสำคัญส่วนหนึ่ง หากพิจารณาจากหนังสือครบรอบ 40 ปีแล้ว (ปี พ.ศ.2497) จะพบว่าจินตนาการโครงการท่าหลวงของ Mr.Jespersen มีความหมายกว่านั้นมาก

    โครงการท่าหลวงในมุมมองของกรรมการผู้จัดการคนนี้ เป็นโครงการขนาดใหญ่ในลักษณะเมืองอุตสาหกรรมแห่งแรกที่ตั้งในพื้นที่ต่างจังหวัด เป็นกระบวนการสร้างเมืองใหม่ ด้วยพื้นฐานของวิศวกรโยธา จึงมุ่งเน้นให้เป็นโครงการขนาดใหญ่ ใช้เงินลงทุนจากการกู้ยืมจำนวนมาก เพื่อให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบวงจร มีลักษณะพึ่งตนเอง แนวความคิดดังกล่าวนี้ได้รับการทักท้วงจากคณะกรรมการหลายครั้ง และอาจเป็นต้นเหตุของการลาออกจากตำแหน่งของเขาด้วย แม้ว่าในเวลาต่อมาแนวคิดที่เน้นโครงการใหญ่และมุ่งลงทุนในภูมิภาคจะถือว่าเป็นความคิดที่มองการณ์ไกลก็ตาม

    Mr.Jespersen ขอลาออกจากบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด ในปี พ.ศ.2502 แต่ก็ยังคงเป็นที่ปรึกษากรรมการที่สำคัญ ได้รับผิดชอบโครงการอ่าวลึก จ.กระบี่ ซึ่งเป็นโครงการตั้งโรงงานผลิตปูนซีเมนต์แห่งใหม่ในภาคใต้ของไทย ซึ่งเขาริเริ่มและให้ความสำคัญอย่างมากไม่แพ้โครงการท่าหลวง

    แนวความคิดของโครงการกระบี่คือโรงงานปูนซีเมนต์ที่สามารถส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศผ่านทางทะเลอันดามันได้ ขณะที่คณะกรรมการยังไม่เห็นความจำเป็น แต่ Mr. Jespersen ยังดำเนินแผนการต่อไป

    ตามแผนการนี้จะเป็นโรงงานปูนซีเมนต์ที่มีการร่วมลงทุนของหลายฝ่าย ซึ่งแนวความคิดนี้ขัดแย้งกับคณะกรรมการบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด อย่างมาก สถานการณ์ขณะนั้นคนไทยเริ่มควบคุมการบริหารงานบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด มากขึ้น ภายใต้กระแสทางเศรษฐกิจแบบชาตินิยมและความพยายามจะลดบทบาทและอิทธิพลของชาวเดนมาร์ก ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด จะตั้งโรงงานแห่งใหม่โดยร่วมทุนกับชาวต่างประเทศ

    จากจุดนี้ก็อาจมองได้ว่า หากโครงการที่อ่าวลึก จ.กระบี่ เกิดขึ้นภายใต้โครงสร้างผู้ถือหุ้นหลายฝ่าย Mr.Jespersen ก็มีบทบาทในการบริหารงานได้อย่างเต็มที่มากกว่าที่บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด ในช่วงท้ายของการดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ

    อย่างไรก็ตามในยุคของ Mr.Jespersen บริษัทปูนซิเมนต์ไทยจำกัด มีพัฒนาการที่น่าสนใจหลายประการ นอกจากที่กล่าวข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นการเข้าสู่อุตสาหกรรมต่อเนื่อง การตั้งบริษัทกระเบื้องกระดาษไทย จำกัด และบริษัทผลิตภัณฑ์และวัตถุก่อสร้าง จำกัด รวมทั้งร่วมมือกับภาครัฐบาลในการส่งเสริมอุตสาหกรรมเหล็ก

    นอกจากนี้มีหลักฐานว่า Mr.Jespersen ดำเนินธุรกิจระหว่างดำรงตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ โดยมีเอกสารโต้ตอบระหว่างบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด และ Mr. Jespersen ซึ่งเป็นสำนักงานที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมตั้งอยู่ที่ประเทศเดนมาร์ก ระหว่างปี พ.ศ.2478 - 2489 ด้วย



    ประวัติบุคคลสำคัญในเนื้อหา


    1. C. Friis Jespersen
    2. พารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา
    3. กนก พงศ์พิพัฒน์


     
    ป้ายคำค้น :
    กรรมการผู้จัดการ , Jespersen , Carlsten Friis , พ.ศ.2478